วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เงินซื้ออะไรได้บ้าง


ตอนนี้หลายคนก้มหน้ากมตาทำงานเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินตรา ปิดเทอมนี้ได้พักผ่อน 3 วัน อยากพักกาย พักใจ เลยมีเรื่องมาเล่าให้อ่านกัน

ทุกวันนี้ที่มาของความเครียดส่วนใหญ่ของผู้คนในสังคม มักมาจากการดิ้นรนหาเงินมาใช้จ่ายแทบทั้งนั้น
บางคนบอกว่าเงินทองเป็นของนอกกาย ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่คนที่กระเสือกกระสนอาจจะคิดในมุมกลับว่า เงินทองเป็นของนอกกายก็จริง แต่ไม่ตายยิ่งหาได้ยากเข้าทุกที

มีคนพยายามบอกวิธีทำใจ ไม่ให้เห็นเงินเป็นเรื่องสำคัญเสียจนทำลายความสุขอื่นๆในชีวิตของเรา
เหมือนที่หลายคนหาเงินจนเกือบจะเหมือนการขายวิญญาณในเรื่องเล่าปรัมปราของฝรั่งไปเสียแล้ว ยอมทิ้งเวลาชื่นชมธรรมชาติ ไม่สนเดือนสนตะวัน ทิ้งเวลาหัวเราะหยอกล้อกับลูก เพียงเพราะต้องการหาเงินให้ได้มากขึ้น (ซึ่งเท่าไหร่ก็ดูเหมือนไม่พออยู่นั่นแหละ)
ถ้าเรามองว่าเงินเป็นเรื่อง “ไม่สำคัญ” คงมีหลายคนที่แย้งขึ้นมาทันทีว่า “แต่จำเป็น”
เอางี้ดีกว่า ลองไปดูกันว่า เงินซื้อไม่ได้ทุกอย่างในโลกนั้นจริงไหม มีอะไรบ้าง?

เงินซื้อบ้านได้ แต่ซื้อความอบอุ่นในบ้านไม่ได้ เงินซื้อเตียงได้ แต่ซื้อการนอนหลับอย่างมีความสุขไม่ได้ เงินซื้อนาฬิกาได้ แต่ซื้อเวลาที่ผ่านไปแล้วไม่ได้ เงินซื้อเลือดได้ แต่ซื้อชีวิตไม่ได้ เงินซื้อเซ็กซ์ได้ แต่ซื้อความรักที่แท้จริงไม่ได้ เงินซื้อตำแหน่งได้ แต่ซื้อความเคารพนับถือไม่ได้ เงินซื้อยาได้ แต่ซื้อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงไม่ได้ เงินซื้อกระดาษปากกาได้ แต่ซื้อความเป็นกวีไม่ได้ เงินซื้อความประจบสอพลอได้ แต่ซื้อความจริงใจไม่ได้ เงินซื้อการตามใจได้ แต่ซื้อความจงรักภักดีไม่ได้ เงินซื้อเพชรนิลจินดาได้ แต่ซื้อความงามไม่ได้ เงินซื้อความสนุกชั่วคราวได้ แต่ซื้อความสุขไม่ได้ เงินซื้อเพื่อนร่วมทางได้ แต่ซื้อเพื่อนแท้ไม่ได้ เงินซื้อเมียที่สวยได้ แต่ซื้อแม่ที่ดีให้ลูกไม่ได้
ในต่างประเทศ เคยมีการทำแบบสอบถามไปยังกลุ่มเศรษฐีเงินล้านขึ้นไป พบว่าพวกเขาส่วนใหญ่ตอบคำถามที่ว่า อะไรทำให้มีความสุข คำตอบได้แก่ นอนแช่อ่างน้ำในห้องน้ำนานๆ บางคนบอกว่ามีความสุขเมื่อได้นอนสักงีบตอนบ่าย หรือได้ออกไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ฯลฯ

ในทางการแพทย์ยืนยันว่า คนที่เข้าใจ ไม่อิฉาริษยา ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นตลอดเวลา จะเป็นคนที่มีความสุขมากขึ้น สุขภาพก็จะดีขึ้นไปด้วยอย่างน่าอัศจรรย์


มันไม่สำคัญหรอกว่า ส้วมทองคำฝังเพชรของคุณจะราคาเท่าไหร่ มันสำคัญที่ว่า เวลาเข้าส้วมแล้วคุณถ่ายคล่องไหม ถ้าไม่ จงกินผัก!
จริงงงงงมะ.....


อ่านต่อ >>

วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วิ่งตามอะไรกัน



ไม่ได้มาเขียนซะนานก็ยุ่ง ๆช่วงนักเรียนสอบ แต่ก็ไม่ลืมบล็อกนี้อยู่แล้ว


ช่วงนี้เข้าพรรษา เลยมีเรื่องเล่าจากวัดมาให้อ่านกันค่ะ



วิ่งตามอะไรกันในชีวิต


มีเรื่องเล่าว่า...


มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...


วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...


จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...


ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน... ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...


หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา... บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...


แล้วเอาเชือกมาด้วย... หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...


ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ... หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...


พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี... เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...


ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว... โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...


น่าสงสารหมามาก... หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...


ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ... หัวเราะเยาะหมา...


ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้... ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...


หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว... ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...


แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...


มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...


ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...


ต้องเติมตลอดเวลา...


เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...


อยากสวย...อยากทันสมัย...


ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...


ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...


อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...


ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...


ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด... ๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...


ของเราตกรุ่น... ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...


ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว... ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...


ของเรากลายเป็นเชย... เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...


หาเงินมา... เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...


ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...


รถยนต์คันใหม่... เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส... เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...


ปัจจุบัน... เรากำลังไล่งับความทันสมัย...


เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...


ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...


น่าสงสารไหมโยม... คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...


ด่าว่า...หมามันโง่...


ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...


ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...


หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง

อยู่อย่างพอเพียงตามรอยพ่อ
อ่านต่อ >>

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นักเรียนกองทัพบกชนะเลิศการประกวดยอดนักพูด





ท่านผู้ทีเกียรติคะ ในสมัยก่อนพุทธกาลนั้น
บุคคลทั่วไปนับถือ ศาสนาพราห์ม ฮินดูซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า พระพรหม คือ ผู้สร้าง ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์มาตรัสรู้ ก็พบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัย เช่นว่า มนุษย์นี้เกิดขึ้น เพราะมีกรรมของตนเอง และ พ่อกับแม่ของเรานั้นเป็นผู้สร้างเราขึ้นมา จึงกล่าวได้ว่า พระพรหม ตามความหมายที่เข้าใจว่าเป็นผู้สร้างโลก สร้างคน ก็ได้แก่ พ่อและแม่ของเรานี้เอง
ดังพุทธภาษิตที่ว่า ภิกษุทั้งหลาย ใน อารยวินัยนี้ เรากล่าวว่า น้ำนมของมารดา กลั่นออกมาจากสายโลหิต ดังนั้น พ่อและแม่ ย่อมสร้างทุกอย่างเพื่อลูก แม้เลือดในอกก็กลั่นให้ลูกได้ ท่านจึงเป็นพระพรหมผู้สร้างลูกอย่างแท้จริง
ถ้าเรา นับวันแรกที่แม่ตั้งครรภ์ท่านก็ใฝ่ฝันและสวดภาวนาให้ลูกรักเกิดมาอย่างปลอดภัย ท่าน อด ต่อความอยาก ลำบากต่อการนอนนั่ง แม้จะเหนื่อยและหนักท่านก็ไม่บน ท่านสู้ทนเพราะรักลูกแม่บำรุงครรภ์จนครบครันเมื่อวันที่ลูกเกิด เป็นวันที่แม่แสนจะเจ็บปวดที่สุดในชีวิตแต่พอเห็นลูกปลอดภัยท่านก็อิ่มใจและเป็นสุขแม้ว่าลูกจะพิการท่านก็ไม่รำคาญเลี้ยงดู ท่านยอมรับและให้รักจนหมดใจแน่นอนค่ะพวกเราทุกๆ คน ยังคงจดจำ แววตาแห่งความเมตตาวาจาแห่งความเอื้ออาทร คำสอนที่ห่วงใยจากดวงใจของแม่ได้เสมอ
ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ ก่อนจากกันวันนี้ หนูมีกลอนบทหนึ่ง ที่อยากบอกกับทุกคน ให้รับรู้ว่า เหตุใด แม่จึงสมควรแก่การยกย่องและเทิดทูล
ผู้หญิงเป็น..มารดามหาบุรุษ เป็น พระพุทธก็เป็นได้ไม่น้อยหน้า
เป็น ผู้นำยุคสมัยในโลกา เป็น ภรรยาสุดแสนดีสามีรัก
เป็น ผู้อวดองค์อรชรชวนชม้าย เป็น สหายแห่งชีวิตสิทธิศักดิ์
เป็น แม่ทัพนำไทยให้คึกคัก เป็น เสาหลักการเมืองเรืองฤทธี
เป็น ขวัญเรือนรินธรรมชี้นำลูก เป็น ผู้ปลูกค่านิยมสมศักดิ์ศรี
เป็น ผู้กล้าที่ก้าวนำทำความดี เป็น ผู้มีศักยภาพควรปราบดา
นี่แหละคือผู้หญิงที่จริงแท้ โลกควรแก้เกณฑ์กดลดโมหา
เคารพหญิงอย่างที่เป็นเช่นสัจจา เพราะหญิงคือ มารดาแห่งแผ่นดิน .
บทความท่อนนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่
เด็กหญิงรัตนาภรณ์ ขันแก้ว นักเรียนชั้น ป.5/1 โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์บูรณวิทยา
ได้ ชนะเลิศการประกวดยอดนักพูด ในงานวันแม่ที่สำนักปฏิบัติธรรมสวนแก้ว ราชบุรี
โดยได้รับการฝึกซ้อมและรวบรวมบทความโดย
คุณครูกาญจนา จันทรดาสุฃ
นอกจากนี้โรงเรียนแห่งนี้ยังได้รับอีกรางวัลคือ
เด็กหญิงปราญชลี ฤทธิ์แรงกล้า ป.5/1รองชนะเลิศอันดับ 1 ร้องเพลงพระคุณแม่
เด็กหญิงดวงพร อินทร์แปลง/เด็กหญิงสุชาดา เพ็ชรจาราไนย ป.6/1 ชมเชยอันดับ 2 ตอบปัญหาธรรมะ
เก่งมากเลยนะเด็กๆ

อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บรรยากาศแห่เทียน ร.ร.ทบอ.บูรณวิทยา

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 53 ที่ผ่านมา ร.ร.กองทัพบกฯ บูรณวิทยา ใช้ชั่วโมงลูกเสือร่วมกัน



น้องแป้ง กับ น้องเดือน ป.6 ทำหน้าที่ "นางเทียนพร้อมแล้วค่ะ"
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 53 นำต้นเทียนไปถวายวัดถ้ำสิงโตทอง
อ.จอมบึงจ.ราชบุรี จัดตัวแทยห้องละ 2 คนตั้งแต่ ป.1- ม.3 รวม 40 คน
ครูและทหาร อีก 16 คนร่วมเป็นตัวแทน







งานนี้ผู้มีติตศรัทธาร่วมทำบุญเป็นเงิน 17,540.25 บาท สาธุ..สาธุ
อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เครือข่ายคุณธรรมในสถานศึกษา

โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์บูรณวิทยาได้ส่งครู จำนวน 8 ท่าน เข้าร่วมการอบรมการสร้างเสริมคุณธรรมจริยธรรมภายในสถานศึกษา เมื่อกลางเดือนมิถุนายน
บัดนี้คุณครูทั้ง 8 ท่านไ
ด้นำความรู้ที่ได้รับ กลับมาขยายผลภายในโรงเรียน

ตอนนี้..โรงเรียนแห่งนี้ จะมีการหมุนเวียน ครูมาอบรมคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในเวลาเช้าหลังเคารพธงชาติ
และก่อนเรียนทุกรายวิชา อย่างน้อย 5 นาที เพื่อปรับคลื่นสมองให้พร้อมรับการเรียน


ต้องขอขอบคุณ ผู้บริหารโรงเรียนสมัยนั้นที่ีเห็นความสำคัญของการสร้างคนดี ครูทั้ง 8 คน จึงได้ไปอบรมที่ ดี ดี และกลับมาทำกิจกรรมดี ๆ

















อ่านต่อ >>

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทำความดีถวายในหลวงที่ บูรณวิทยา



วันที่ 6 กรกฎาคม 2553
โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ บูรณวิทยา ได้จัดโครงการทำความดีถวายในหลวง ด้วยการบริจาคโลหิต ณอาคารสายใยรักฯ ตั้งแต่เวลา 09.00-12.30 น. โดยรถหน่วยเคลื่อนที่ขอ
งโรงพยาบาลราชบุรี
มีบุคคลหลายฝ่ายให้การสนับสนุนมาบริจาค เช่น ผู้ปกครอง ทหาร พระ-เณร ฯ ล ฯ
ได้ผู้บริจาค 44 ราย คิดเป็น 15400 ซี
ซี
ผู้บริจาคร่างกาย และอวัยวะ อีก 12 ราย

มาชมภาพกันดีกว่าค่ะ

ีี่นักเรียนกลุ่มจิตอาสารับลงทะเบียน


กำลังใจจากกาชาด















หน่วยงานอ่ื่น ๆ ก็มาร่วมด้วย



อนุโมทนาบุญกันทุกคน
อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดเวลาลูกใหญ่ของสังคมไทย

มุมมอง...ธัญญา ศิโรรัตน์ธัญโชค

ระเบิดเวลาลูกใหญ่ของสังคมไทย

ผมถือว่าปัญหาเด็ก และเยาวชน เป็นเรื่องใหญ่ของสังคมและครอบครัว หากไม่มีการจัดการแก้ไขกันอย่างถูกต้องให้ถึงรากเหง้าของปัญหา ก็อาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ของสังคมไทยในอนาคตได้

เพราะเด็กวันนี้ ก็คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เหมือนกับพวกเด็กๆเมื่อ 35 ถึง 60 กว่าปีที่แล้ว ที่กำลังออกลาย อาละวาดทำร้ายทำลายเศรษฐกิจ สังคมและความสงบสุขของประเทศไทย แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างไร้ยางอาย ไม่เกรงกลัวชั่วบาปกันอยู่ในเวลานี้

ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อครับ เมื่อสถาบันรามจิตติ(2553) รายงานผลการวิจัยว่า ตลอดปี 2552 มีเด็กสาวอายุต่ำกว่า 19 ปี ทำคลอดถึง 6.9 หมื่นราย คิดเฉลี่ยวันละ 190 ราย

ที่น่าเศร้าใจก็คือ ในจำนวนนี้ มีทั้งเด็กหญิงและนางสาวที่ยังอยู่ในวัยเรียนระดับมัธยมตอนต้นและตอนปลาย ในโรงเรียนอาชีวศึกษาและสามัญศึกษา ตลอดจนระดับอุดมศึกษารวมอยู่ด้วย และเด็กอาชีวะกับเด็กระดับอุดมศึกษาถึง 37 เปอร์เซ็นต์ ก็ยอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว

แน่นอนครับว่า เมื่อเด็กตั้งครรภ์ อนาคตทางการเรียนก็จำต้องหยุดชะงักลง 1-2 ปี เป็นอย่างน้อย เพราะคงไม่มีโรงเรียนหรือสถานศึกษาแห่งไหนยอมให้เด็กอุ้มท้องเข้าไปนั่งเรียนอวดสายตาเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนแน่
แม้ว่าจะมีการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ กศน.รองรับ แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปเรียนได้อย่างต่อเนื่องในบัดดล เพราะถ้าเด็กอายุไม่ถึง 15 ปี หรือออกไปไม่ถูกจังหวะเวลาที่เขาเปิดรับสมัคร ก็คงต้องอุ้มท้องรอไปก่อน

ถึงคลอดลูกแล้วก็อย่าหวังว่า จะได้กลับเข้าไปเรียนร่วมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ เหมือนกับตอนที่ยังเป็นเด็กหญิง หรือนางสาวคิกขุอาโนเนะ ไร้เดียงสาดังแต่ก่อน

ส่วนใหญ่โรงเรียนประเภทสามัญศึกษาก็ต้องขอร้องให้เด็กลาออก เชิญให้ออก หรือไล่ออกตั้งแต่เริ่มรับรู้ว่าเด็กจับคู่มีเพศสัมพันธ์ หรือเมื่อรู้ว่าเด็กเริ่มตั้งครรภ์แล้ว

เพราะถ้าไม่ให้ออกก็ต้องคอยตอบคำถามผู้ปกครองเด็กคนอื่นๆ และต้องทนรับฟังเสียงเล่าลือถึงกิตติศัพท์ฉาวโฉ่ทางเพศของลูกศิษย์ให้ได้

สุดท้ายเด็กบางคนก็จะกลายเป็นเหยื่อลมปากของเพื่อนร่วมสถาบัน บางรายก็เลยกลายเป็นเด็กใจแตกใจง่ายเป็นเหยื่อของนักล่าสวาททั้งในและนอกโรงเรียน หรือไม่ก็แปรผันตัวเองเป็นนักเก็บสถิติอันไม่พึงประสงค์ โดยที่อาจจะเต็มใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้

ถ้าลูกหลานใครต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ ก็นับว่าน่าเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุเหล่านี้หรือเปล่า ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข จึงชง(ร่าง)พระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์ พ.ศ..... เสนอท่านรัฐมนตรีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี ออกเป็นกฎหมายรับรองสิทธิของทุกคนที่จะต้องมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี

และยังช่วยป้องกันการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิด้านต่างๆของหญิงมีครรภ์ด้วย ซึ่งหากมองโดยมุมของหลักสิทธิมนุษยชน ก็นับว่าเป็นหลักการที่ดี

แต่หลายคนก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ในสาระบัญญัติแห่งมาตรา 12 ที่ว่า “ในกรณีที่ สถานศึกษา มีหญิงมีครรภ์ ที่อยู่ในระหว่างศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้องอนุญาตให้หญิงมีครรภ์ ศึกษาต่อในระหว่างตั้งครรภ์ และกลับมาศึกษาต่อได้ภายหลังคลอดบุตรแล้ว”

อันนี้รู้สึกว่าครูอาจารย์ รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะช็อกครับ ยอมรับกันไม่ค่อยได้

แม้กระทั่งนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ก็ยังแทงกั๊ก โดยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน(มติชน 9 ก.ค.2553)ว่า “เรื่องนี้ทาง ศธ.กำลังติดตามอยู่ ซึ่งที่ผ่านมา ศธ.เน้นเรื่องของมาตรการป้องกัน เพราะตัวเลขของนักเรียนที่ประสบปัญหาดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นทุกปี”

ท่านรัฐมนตรี ชินวรณ์ บอกด้วยครับว่า ที่ผ่านมาได้เข้าไปดูแลเรื่องหลักสูตรของวิชาเพศศึกษาให้เหมาะสมแต่ละวัย ซึ่งก็ตรงกับสาระบัญญัติมาตราที่ 7 แห่งร่าง พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวที่ ให้สถานศึกษาจัดให้มีการสอนเพศศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมกับวุฒิภาวะและวัยของผู้เรียน

แต่...โปรดย้อนกลับไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของท่านรัฐมนตรีชินวรณ์ที่ย่อหน้าแรก โดยเฉพาะวรรคท้ายในเครื่องหมายคำพูดอีกครั้ง ว่าทำไมท่านรัฐมนตรีถึงอิดออดไม่ยอมรับลูกเรื่อง นี้ในฉับพลันทันที

พูดให้ชัดคือ กระทรวงศึกษาธิการกำลังประสบกับความล้มเหลว ในมาตรการป้องกันหรือการใช้หลักสูตรเพศศึกษาในโรงเรียน ใช่หรือไม่ ? จำนวนตัวเลขของนักเรียนที่ประสบปัญหาจึงเพิ่มขึ้นทุกปี

ขนาดท่านรัฐมนตรีมีครูและผู้บริหารสถานศึกษาราว 6-7 แสนคนอยู่ในมือเด็ก(หญิง)ยังยับเยิน แล้วกระทรวงคุณหมอมียาดีอะไรไม่ทราบ จึงกล้าหาญชาญชัยออกกฎหมายมารับรองสิทธิเด็ก(หญิง)ที่ตั้งครรภ์ แบบเตะทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีทางการศึกษา

ซึ่งถือปฏิบัติกันมาแต่เดิมว่านักเรียนนักศึกษาต้องมีสถานะภาพโสด ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกมากวนตัว มีผัวมีเมียมากวนใจในระหว่างวัยเรียน

ผมไม่ได้มีจิตเจตนาที่จะละเลยสิทธิในความเป็นมนุษย์ สิทธิที่จะต้องได้เรียน ได้รับการคุ้มครองของเด็ก(หญิง)แต่ประการใดนะครับ แต่สิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องมีกรอบขอบเขตที่ถูกต้องเหมาะสม ปัญหาและผลกระทบจึงจะไม่เกิดทั้งกับตัวบุคคล สังคมและระบบ

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเคยตรัสสอนไว้ว่า ...สิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนี้ต้อง “พอสมควร”...

ในหนังสือ “ดอนบอสโก นักอบรม” ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในการช่วยเหลือบรรดาเด็กและเยาวชนชาย หญิงให้พ้นจากความเสื่อมทรามของสังคมในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็กล่าวไว้ว่า
“การอบรมที่มุ่งแต่ด้านวิชาการ ศิลปะและความก้าวหน้าฝ่ายร่างกาย โดยละเว้นด้านศีลธรรม ฤทธิกุศล และอิสรภาพอันมีขอบเขต จะนำความพินาศมาสู่มนุษย์ ครอบครัวและประเทศชาติอย่างไม่ต้องสงสัย”

ผมไม่อยากกล่าวหาหรอกครับว่า ที่การศึกษาไทยล้มเหลวจมปลักมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะคนของพรรคประชาธิปัตย์ครองเก้าอี้กระทรวงนี้อยู่มากกว่า 20 ปี มาเจอะพรรคชาติไทยหักไม้เรียวซ้ำ

และพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณ ขยี้ซ้ำจนช้ำเลือดช้ำหนอง เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตามเกณฑ์เป็นหมื่นเป็นแสนคน ซึ่งผลของฝีหนองกำลังแตกเละให้เห็นอยู่ในเวลานี้

อย่าพึ่งเที่ยวไปเอาอย่างสิงคโปร์ หรือประเทศที่การศึกษาและคนของเขาได้รับการพัฒนาดีถึงระดับหนึ่งแล้ว มาเปรียบเทียบกับเด็ก เยาวชนและสังคมไทยในเวลานี้นะครับ ผมขอร้องล่ะ...

ลองนึกภาพดูสิครับ ประเทศและสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าหากผู้ใหญ่ในอนาคตวันนี้ ยังเป็นเด็กที่ไม่เอาถ่าน อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดไม่เป็น แถมเป็นเด็กที่มีปัญหา เป็นแม่เป็นพ่อที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่เลี้ยงลูกไม่ถูกต้อง อบรมลูกไม่เป็นเท่านั้น แต่ทว่าตัวเองก็ยังเอาไม่รอดด้วย ซักถุงเท้า-ชุดชั้นในเองเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยครับ

แต่จะว่าไปแล้ว หันกลับมาโทษผู้ใหญ่อย่างเราๆกันเองดีกว่าครับ เพราะเด็กก็คือเด็ก ถ้าผู้ใหญ่เป็นพ่อปูแม่ปู เด็กก็เป็นลูกปู ถ้าครูบาอาจารย์เป็นได้แค่ชะนี ไม่ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนเด็กทั้งความรู้และคุณธรรม และปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างที่ดี แล้วใครล่ะครับ! จะเป็นผู้อบรมเด็กให้เป็นคนดีได้
อ่านต่อ >>

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คนไทย-ราชบุรี เตรียมต้อนรับพระธาตุ นักบุญยอห์น บอสโก

     ซิสเตอร์นิภา กู้ทรัพย์ จิตตาธิการผู้ร่วมงานฯได้ประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษาและผู้ร่วมงานซาเลเซียนบ้านนารีวุฒิ โดยแจ้งให้ทราบถึงกำหนดการต้อนรับพระธาตุของนักบุญยอห์น บอสโก ผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระศาสนจักรให้เป็น “บิดาแห่งเด็กกำพร้า” หรือ ที่สมญานามที่รู้จักกันทั่วโลกว่า “บิดา อาจารย์และเพื่อนของเยาวชน” เนื่องในช่วง คศ.1846 –1888 นักบุญยอห์น บอสโก ได้เริ่มงานให้การช่วยเหลือเด็กกำพร้า เยาวชนที่ยากจนและถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมากกว่า 700 คนให้พ้นจากการเป็นเหยื่อของความเสื่อมทรามทางด้านศีลธรรม การกดขี่เอาเปรียบจากนายจ้างที่ใช้แรงงานเด็ก รับอุปการะให้ที่พักอาศัยที่อาศัย การศึกษาและการอบรมทั้งทางด้านศีลธรรม คุณธรรม การฝึกทักษะอาชีพ ทำให้เด็กเหล่านั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดี เติบโตขึ้นและอุทิศตนเป็นนักบวชตามจิตตารมณ์ของท่านนักบุญยอห์น บอสโก จำนวนมาก ซึ่งท่านได้ก่อตั้งคณะนักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์         คณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์(นักบวชหญิง-ซิสเตอร์) และคณะผู้ร่วมงานซาเลเซียน ซึ่งเป็นฆราวาสที่อุทิศตนทำงานร่วมกับท่านในกิจการเพื่อช่วยเด็กและเยาวชนทั้งชายและหญิง ให้รอดพ้นจากบาปและการผจญล่อลวงต่างๆ และด้วยความเสียสละอุทิศชีวิตและการงานของท่านเพื่อเด็กและเยาวชนด้วยความรักอย่างจริงใจ ทำให้ท่านได้รับพระพรเป็นพิเศษจากพระเป็นเจ้า ให้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธ์ตามพระคริสตธรรม และเป็นที่เคารพรักของสมาชิก ศิษย์เก่าซาเลเซียนทั่วโลกทั้งที่เป็นคริสตชนและพุทธศาสนิกชน


           และเป็นโอกาสดีที่ปลายปีนี้จะมีการอัญเชิญพระธาตุของนักบุญยอห์น บอสโก
จากเมืองตุริน ประเทศอิตาลี ไปทั่วโลกเพื่อให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาได้คารวะและรำลึกถึงคุณความดีของท่าน สำหรับประเทศไทย ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2553 พระธาตุจะเดินทางมาถึง สนามบินสุวรรณภูมิ มีพิธีต้อนรับที่สนามบิน และอัญเชิญพระธาตุเข้าสู่โบสถ์นักบุญยอห์น บอสโก
ที่กรุงเทพฯ ประกอบพิธีต้อนรับพระธาตุ ด้วยการเชิญมุขนายกทุกองค์ทุกมิสซังในประเทศไทยร่วมพิธี
พระธาตุจะตั้งที่โบสถ์แห่งนี้สองคืน จากนั้น วันที่ 20 พฤศจิกายนพระธาตุถูกอัญเชิญโดย รถยนต์ไปยังโบสถ์นักบุญยอแซฟ บ้านโป่ง (ติดกับโรงเรียนสารสิทธิ์พิทยาลัย) อ.บ้านโป่งจ.ราชบุรี และจะตั้งไว้ให้ประชาชนได้คารวะสองคืน วันที่ 22 พฤศจิกายน พระธาตุ ถูกอัญเชิญไปยังอาสนวิหารแม่พระบังเกิด
ที่บางนกแขวก จ.สมุทรสงคราม วันที่ 23 พฤศจิกายน พระธาตุ ถูกอัญเชิญไปยังโรงเรียหัวหินวิทยาลัย จ.ประจวบคีรีขันธ์ วันที่ 24 พฤศจิกายน พระธาตุถูกอัญเชิญไปยัง อาสนวิหารมิสซังคาทอลิกเขตสุราษฎร์ธานี (โดยแวะห้วยยาง)  วันที่ 25 พฤศจิกายน พระธาตุถูกอัญเชิญไปยัง โรงเรียนแสงทองวิทยา หาดใหญ่ จ. สงขลา  วันที่ 26 พฤศจิกายน พระธาตุถูกอัญเชิญโดย เครื่องบินไปยังโรงเรียนดอนบอสโก วิทยา ที่จังหวัดอุดรธานี  วันที่ 27 พฤศจิกายน พระธาตุถูกอัญเชิญโดย รถยนต์ไปยังหมู่คณะธิดาแม่พระองค์อุปถัมภ์ที่สามพราน จังหวัดนครปฐม และพิธีอำลาพระธาตุที่สามพรานสำหรับสัตบุรุษ วันที่ 29 พฤศจิกายน พระธาตุถูกอัญเชิญมายัง สำนักเจ้าแขวงคณะซาเลเซียนแห่งประเทศไทย และมีพิธีอำลาพระธาตุสำหรับเฉพาะหมู่คณะในครอบครัวซาเลเซียนเท่านั้น
        และวันที่ 30 พฤศจิกายน พระธาตุถูกอัญเชิญไปยัง ประเทศกัมพูชาโดยผ่านทางปอยเปต
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

การเรียนแบบสองภาษา (Bilingual Program)

การเรียนแบบสองภาษา (Bilingual Program)
ประชานิยม หรือ ทางออกการศึกษาไทย
ปัจจุบันกระแสความนิยมของผู้ปกครองในการส่งบุตรลานได้ศึกษา
เล่าเรียนในแผนกสองภาษา หรือแม้แต่การเรียนพิเศษเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่นๆ นั้นกำลังมาแรง ทำให้โรงเรียนที่สอนแบบสอง (หรือสาม) ภาษานั้นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับทั้งในกรุงเทพฯ และในภูมิภาคต่างๆ จนหลายท่านตั้งคำถามขึ้นว่า การเลือกให้บุตรหลานได้เรียนแบบสองภาษาในยุดปัจจุบันนี้จำเป็นหรือไม่ ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร จะมีเงินพอจ่ายหรือเปล่า และหรือการเรียนแบบสองภาษานี้เป็นเพียงกระแส “ประชานิยม” หรือว่ามันเป็น “ทางออกของการศึกษาไทย” ในอนาคตอันใกล้นี้
ส่วนหนึ่งของกระแสความนิยมการเรียนการสอนแบบสองภาษาที่เพิ่มมากขึ้นนั้น มาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของสังคมโลกาภิวัตน์ อีกทั้งทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในอนาคต รวมถึงแผนการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Mega Projects) การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA (Asian Free Trade Area) การติดต่อธุรกิจค้าขายมากขึ้นกับต่างชาติ หรือแม้แต่นโยบายของรัฐบาลที่มุ่งผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำและศูนย์กลางของกลุ่มประเทศอาเซียน (Asian Hub) โดยการมุ่งหวังให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภูมิภาคอาเซียน (Asian Education Hub) เป็นต้น
นอกจากโรงเรียนนานาชาติ (International School) แล้ว สถานศึกษาในประเทศไทยซึ่งจัดการเรียนการสอนแบบสองภาษา (Bilingual School) อาจแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภทโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษ (English Program, EP หรือที่เรียกกันว่า Bilingual Program) ในระดับชั้นต่างๆ ประเภทโรงเรียนที่จัดโครงการ Mini English (Bilingual) Program ซึ่งสอนแบบสองภาษาในบางรายวิชา เช่น วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ หรือวิชาสุขศึกษา เป็นต้น และประเภทโรงเรียนที่จัดโครงการพัฒนาศักยภาพพิเศษแบบเข้มข้นในสาขาวิชาต่างๆ (Intensive Program, IP)
การเรียนการสอนแบบสองภาษา (Bilingual Education) และการเรียนรู้ภาษา (Language Learning) ต่างกันอย่างไร? การเรียนภาษา เช่น ภาษาอังกฤษนั้นเป็นการเรียนรู้ทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ส่วนการเรียนการสอนแบบสองภาษานั้น เป็นการเรียนรู้เนื้อหาสาระวิชาผ่านการใช้ภาษา 2 ภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษไปพร้อมๆ กัน
หลายคนอาจสงสัยหรือสับสนเกี่ยวกับคำที่ใช้ คือ English Program และ Bilingual Program เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? จริงๆ แล้วคำว่า “การศึกษาแบบสองภาษา (Bilingual Education)” เป็นคำสากลที่ใช้กันทั่วโลกแม้ว่าจะถูกตีความหรือแปลความกันไปแตกต่างกัน ส่วนคำว่า “English Program (EP)” นั้นเป็นคำที่ใช้กันในแวดวงการศึกษาไทย ซึ่งหมายความถึง “โรงเรียนสองภาษา (Bilingual School)” หรือว่าโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการแบบหรือ “แผนกสองภาษา (Bilingual Program)” ซึ่งเป็นคำที่นิยมใช้กัน เป็นต้นในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (English as a Second Language) ในการติดต่อสื่อสาร
เหตุที่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนแบบสองภาษา (Bilingual Education) ได้รับความนิยมและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโรงเรียนในเขตกรุงเทพฯและส่วนภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 200 แห่ง ก็เพราะการเรียนการสอนแบบสองภาษานี้สามารถ “เติมเต็มช่องว่าง” ระหว่างการเรียนภาษาอังกฤษแบบไทยเดิมๆ และการเรียนโรงเรียนนานาชาติทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งน้อยคนนักจะมีโอกาสได้เรียนเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวฐานะปานกลางจึงมีความสามารถส่งบุตรหลานเข้าเรียนในแผนกสองภาษาได้ อีกทั้งสมาชิกในครอบครัวก็ยังได้ใกล้ชิดกัน รวมถึงไม่ต้องกังวลใจด้วยว่าบุตรหลานที่ส่งไปศึกษายังต่างประเทศนั้นจะหลงลืมวัฒนธรรมประเพณีไทยไป ฉะนั้น การเรียนการสอนแบบสองภาษาในปัจจุบันจึงเสมือนเป็น “คำตอบ” ของพ่อแม่ยุคใหม่ ที่ต้องการให้บุตรหลานได้เรียนรู้ความเป็นสากลแต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของไทยได้ในขณะเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นการวางฐานอนาคตบุตรหลานให้พร้อมสำหรับสังคมโลกไร้พรหมแดนแห่งอนาคตอันใกล้นี้
สถานศึกษาที่ใช้การเรียนการสอนแบบสองภาษานั้น นักเรียนจะได้เรียนรู้ไปด้วยกันทั้งภาษาแม่ (ภาษาไทย) และภาษาที่สอง (ภาษาอังกฤษ) อีกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างถูกใช้ในการเรียนการสอนตามเนื้อหาสาระวิชาต่างๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สุขศึกษา ฯลฯ ไปพร้อมๆ กัน ดังนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองจึงมั่นใจได้ว่าเมื่อท่านส่งบุตรหลานเข้าเรียนแผนกสองภาษาแล้ว ลูกหลานของท่านมีศักยภาพในการสื่อสารได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อีกทั้งเป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานซึ่งกระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง บุคลากรผู้สอนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติก็ได้รับการคัดสรรและเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญลูกหลานของท่านมีความสุขและสนุกไปกับบรรยากาศการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน
ประโยชน์สำหรับการเรียนแบบสองภาษาโดยอาจารย์ต่างชาติเจ้าของภาษา (Native Speakers) นั้น นอกจากผู้เรียนจะได้เรียนรู้ในเนื้อหาสาระวิชา มีโอกาสฝึกฝนทักษะสำเนียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องชัดเจนแล้ว ยังเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม ค่านิยม ความคิดเห็นที่แตกต่างกันระหว่างนักเรียนและอาจารย์ชาวต่างชาติอีกด้วย เช่น เรื่องอาหารการกิน การแต่งกาย ศิลปะ วรรณกรรม หรือแม้แต่ความเชื่อซึ่งถือเป็นรากฐานของแต่ละวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์อีกทั้งทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ยอมรับ และเคารพความแตกต่างของคนในวัฒนธรรมอื่นได้เป็นอย่างดี
นักเรียนสองภาษามักจะมีข้อได้เปรียบซึ่งแตกต่างจากนักเรียนภาคปกติ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการพูดอ่านเขียนได้สองภาษา ความเข้าใจลึกซึ้งในวัฒนธรรมต่างๆ ได้ดี มีความคิดสร้างสรรค์ การรู้จักสื่อสารอย่างฉลาด มีความมั่นใจในตัวเอง มีความมั่นคงในเอกลักษณ์ของตนเอง สามารถเรียนภาษาที่สามได้ง่ายขึ้น อีกทั้งเป็นการวางพื้นฐานอนาคตที่มั่นคง การศึกษาต่อ หรือการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติ เป็นต้น
เหตุใดจึงมักเรียนดนตรีและศิลปะ (Music & Arts) ควบคู่ไปกับการเรียนการสอนแบบสองภาษา? แท้ที่จริงแล้วการฟัง ร้องเพลง หรือดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษนั้น เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด นอกจากดนตรีและศิลปะช่วยสร้างเสน่ห์ส่วนบุคคลให้กับผู้เรียนแล้ว ยังช่วยฝึกฝนสมาธิ ความมุมานะอดทน ความสามัคคี การทำงานร่วมกันกับผู้อื่น ช่วยขัดเกลาจิตใจให้อ่อนโยน สร้างสรรค์จินตนากร บำบัดสภาวะทางจิตให้สมดุล อีกทั้งพัฒนาประสิทธิภาพของเซลล์สมองอีกด้วย
เด็กวัยใดที่สามารถเริ่มเรียนแบบสองภาษาได้ คำตอบคือ เมื่อเด็กเริ่มหัดพูดก็สามารถเริ่มสอนภาษาได้เลย แต่ช่วงอายุที่เหมาะสม คือ ช่วง 3-4 ขวบ เพราะเป็นวัยที่เด็กเริ่มพูดและซักถาม เริ่มสนใจสิ่งต่างๆรอบตัว เด็กเล็กจะรับรู้ภาษาได้ง่ายและเป็นธรรมชาติ เรียนรู้ประสบการณ์โดยการวิ่งเล่น กระโดด ระบายสี เล่นกิจกรรมต่างๆ เด็กเล็กจะไม่กังวลถึงข้อผิดพลาดในการใช้ภาษา พวกเด็กสนใจเพียงการสื่อสารข้อมูลให้คนอื่นได้ทราบและการรับรู้ข้อมูลที่พวกเขาต้องการ
มีการคาดการณ์ว่านิสิตจบใหม่ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากรู้เพียง 2 ภาษาแค่นั้นมีโอกาสตกงานสูง ดังนั้น หลายๆ สถานศึกษาในปัจจุบันจึงส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาษาที่สาม เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาฝรั่งเศส เป็นต้น ไม่ว่าการเรียนสองภาษาจะเป็นการทำกระแสสังคมหรือไม่ก็ตาม แต่สำหรับนักการศึกษาหลายๆ คนแล้ว นี่คือโอกาสและทางเลือกสำคัญของการศึกษาไทยในยุคปัจจุบันและอนาคต นี่อาจเป็นคำตอบหรือทางออกของวังวนการศึกษาของประเทศไทย
และนี่คือ การเรียนการสอนแบบสองภาษา (Bilingual Education) การศึกษาทางเลือกของคนมีวิสัยทัศน์กว้างไกลสำหรับบุตรหลานในอนาคต
โดย บาทหลวงสมเกียรติ จูรอด
ผู้จัดการโรงเรียนดรุณากาญจนบุรี
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วอนขอสันติสุขให้ประเทศไทย...คนตายกลับมาบอก


คนเราอยากอยู่อย่างสันติสุข... และอยากรู้จักชีวิตหลังความตาย
... แต่ไม่เคยได้รู้จริง

คนส่วนใหญ่เชื่อว่าประเทศไทยต้องการคำภาวนาเพื่อสันติสุข... และเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ ชีวิต

หลังความตาย
... แต่ไม่เคยได้ไปนรกหรือสวรรค์จริงๆ

คนจำนวนมากเชื่อว่า “พระเมตตา”นำมาซึ่งสันติสุข... และเชื่อเรื่องการตายแล้วฟื้นด้วยปาฏิหาริย์
... แต่ไม่เคยได้สัมผัสกับคนตายแล้วฟื้น ตัวเป็นเป็น

3 กรกฏาคม 2553 เวลา 15.00 น. .... ขอเชิญท่านร่วมสวดภาวนาพระเมตตาทำบุญขอสันติสุขให้แก่ประเทศไทย ณ โบสถ์วัดอัครเทวดามีคาแอล ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี

... และ สัมผัสกับ “สแตนเล่ย์ วิลลาวีเซนซีโอ” ชาวฟิลิปปินส์ “ผู้ที่ตายไปแล้ว กลับฟื้นขึ้นมา”บอกเล่า เรื่องราวหลังความตาย ของเขา

... ร่วมใจกันทำกิจเมตตา คิดดี พูดดี ทำดี
... ร่วมกันสวดวอนขอพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เพื่อสันติสุขของประเทศ

*สนใจเข้าร่วมกิจกรรม หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บาทหลวงสุรินทร์ ชุนฟ้ง โทร.08-1995-3490*
อ่านต่อ >>

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

สวัสดีค่ะ วันนี้ขออนุญาตนำแง่คิดดีๆ มาแบ่งปันฝากกันอ่านเล่นๆ ยามที่สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปลอดโปร่งสดใสในหัวข้อ

"เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต" โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

สิ่งที่เธอควรมี "สติปัญญา"

สิ่งที่เธอควรอดทน "การดูหมิ่น"

สิ่งที่เธอควรแสวงหา "กัลยาณมิตร"

สิ่งที่เธอควรได้ยิน "พุทธธรรม"

สิ่งที่เธอควรคิด "ความดีงาม"

สิ่งที่เธอควรจดจำ "ผู้มีคุณ"

สิ่งที่เธอควรพยายาม "การศึกษา"

สิ่งที่เธอควรเทิดทูน "สถาบันพระมหากษัตริย์"

สิ่งที่เธอควรเข้าหา "นักปราชญ์"

สิ่งที่เธอควรขจัด "ความเห็นแก่ตัว"

สิ่งที่เธอควรฉลาด "การเข้าสังคม"

สิ่งที่เธอควรเลิกเมามัว "การพนัน"

สิ่งที่เธอควรนิยม "ความซื่อสัตย์"

สิ่งที่เธอควรสร้างสรรค์ "สัมมาชีพ"

สิ่งที่เธอควรตัด "อกุศลมูล"

สิ่งที่เธอควรเร่งรีบ "การแทนคุณบุพการี"

สิ่งที่เธอควรเพิ่มพูน "บุญกุศล"

สิ่งที่เธอควรปฏิบัติหน้าที่ "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด"

แล้วคุณได้ทำสิ่งที่ควรแล้วหรือยังค่ะ? ส่งเรื่องราวในชีวิตของคุณมาเล่าสู่กันฟังบ้างซิค่ะ ฝนที่ตกอยู่ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้ ก็ยังอยากจะได้ยินทุกเรื่องราว...(ฮ่า ฮ่า พี่เบริด์มาตั้งแต่เมื่อไรคะเนี่ย) Kiss

สมัครมาเป็นสมาชิก "ผู้สื่อข่าวประจำบล็อคกันซิคะ

"แบ่งปันประสบการณ์-ข่าวสารดี ๆ ให้แก่กันและกัน

ขอขอบคุณ

http://www.okkid.net
อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ขบวนการ 'ล้มเจ้า'และ 'ความขัดแย้ง'ที่ยังอยู่

ถึงแม้ว่าสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง จะคลี่คลายและดูสงบลงชั่วคราว แต่ก็มิได้หมายความว่า ปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงจะหดหายไปอย่างสิ้นเชิงจากสังคมและการเมืองไทย
เช่นเดียวกับ “ขบวนการล้มเจ้า”ที่ยังคงดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 จวบจนปัจจุบัน
หากย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ ในวันที่คณะราษฎรทำการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประกาศแถลงการณ์ของคณะราษฎร ฉบับที่ 1 ที่พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา อ่านในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง(6 นาฬิกาตรง) บริเวณหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่ง รศ.ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า(2549) ...มีข้อสังเกตว่า ข้อความในหนังสือกราบบังคมทูลที่มีเนื้อความค่อนข้างรุนแรง แตกต่างจาก “ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1” ...ที่ระบุว่า
“หากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธ คณะราษฎรก็จะจัดให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตย โดยที่ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญ ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกขึ้น ตามนัยแล้วก็คือ การปกครองแบบ “สาธารณรัฐ” นั่นเอง”
แต่เป็นความโชคดีของคนไทย ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นทรงประทับอยู่ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อทรงทราบข่าวก็ทรงได้ประชุมกับพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แล้ว และทรงตัดสินพระราชหฤทัย โดยเห็นแก่ประเทศและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง จึงทรงยินยอมเป็นพระเจ้าแผ่นดิน “ตาม”พระธรรมนูญ โดยทรงตอบในพระราชหัตถเลขาฉบับเดียวกันที่คณะราษฎรกราบบังคมทูลอัญเชิญให้พระองค์กลับพระนคร เป็นกษัตริย์ “ใต้” ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน ทั้งที่ผู้ถวายความเห็นส่วนใหญ่เชื่อว่าจะสามารถเอาชนะคณะราษฎรได้ไม่ยาก หากพระองค์จะตัดสินพระทัยต่อสู้
ซึ่งประเด็นความแตกต่างระหว่าง “ใต้” กับ “ตาม”พระธรรมนูญปกครองแผ่นดิน หรือรัฐธรรมนูญ ถือว่ามีนัยยะทางการเมืองที่สำคัญมาก (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, 2549)
ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวของคณะราษฎร ได้ลดทอนพระราชอำนาจลงไปมาก จนพระองค์เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น แม้แต่การเรียกพระองค์ก็ใช้คำว่า “กษัตริย์” แทนที่จะใช้คำว่า “พระมหากษัตริย์”
ขบวนการเหล่านี้ยังคงเกาะติดและปรับตัวให้ผสมกลมกลืนกับการเปลี่ยนแปลง แฝงตัวอยู่ในโครงสร้างอำนาจ วิถีชีวิต พรรคการเมือง สถาบันการเมืองและแนวคิดประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐสุดโต่ง และแผลงฤทธิ์ทุกๆครั้งที่การเมืองและประเทศอ่อนแอ เหมือนเชื้อไวรัส(เริม)ที่ฝังตัวอยู่ในปมประสาท ไม่เคยหมดสิ้นไปจากสังคมไทย
หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 มีการรัฐประหารครั้งแรก โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา(1 เม.ย.2476)และครั้งที่สอง ในวันที่ 20 มิถุนายน 2476 พันโทหลวงพิบูลสงครามได้ทำรัฐประหารล้มรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
การรัฐประหารของหลวงพิบูลสงคราม ทำให้คณะราษฎรกลับคืนสู่อำนาจอย่างมั่นคง และใช้อำนาจเบ็ดเสร็จที่ก่อให้เกิดความกดดันต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยตรง
ที่สำคัญ เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงคราวที่พระองค์ ต้องทรงเผชิญหน้ากับคณะราษฎรในการเรียกตัวหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งคณะรัฐมนตรีและสภาผู้แทนราษฎรต่างก็เห็นชอบให้เรียกตัวหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับด้วย
พระองค์ยังทรงขัดข้อง และทรงปฏิเสธที่จะรับรองตัวหลวงประดิษฐ์มนูธรรม เนื่องจากพระองค์ยังไม่สิ้นความสงสัยว่า หลวงประดิษฐ์มนูธรรมจะไม่ใช้วิธีการเศรษฐกิจแบบ “โซเซียลิสต์อย่างแรง” ซึ่งหมายถึงวิธีการคอมมิวนิสต์แบบรัสเซีย นั่นเอง
ประเด็นนี้เองที่ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองปัจจุบัน ต่างหวั่นเกรงว่า ประวัติศาสตร์จะวนกลับมาในท่วงทำนองเดิม แม้ว่าตัวบุคคล แนวคิดและวิธีการทางเศรษฐกิจจะเปลี่ยนไปคนละทางกับอดีต
นอกจากนี้เหตุการณ์ “กบฏบวรเดช”ในปี พ.ศ.2476 ที่ทั้ง “รัฐบาล”ของคณะราษฎร ซึ่งมีพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี กับ “คณะกู้บ้านเมือง”ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของบรรดาบุคคลที่ไม่พอใจจากการถูกปลดออกจากราชการโดยคณะราษฎรส่วนหนึ่ง กับพระบรมวงศานุวงศ์บางพระองค์ที่ต้องการกอบกู้เกียรติของความเป็นเจ้ากลับคืนมาอีก ปะทะกันอยู่นานถึง 14 วันและต่างก็พยายามช่วงชิงการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์ แต่ก็ไม่เป็นผลทั้งสองฝ่าย
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จโดยเรือเร็วขนาดเล็กจากหัวหินลงไปสงขลา เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดว่าทรงอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และขณะประทับที่สงขลา สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯซึ่งประทับอยู่ด้วย ทรงเล่าถึงเหตุการณ์คืนหนึ่งว่า
“คืนนั้นในหลวง ฉัน แล้วก็ ม.ร.ว.สมัครสมาน ขึ้นไปอยู่บนชั้น 3 ด้วยกัน ท่านรับสั่งว่า ถ้าจะมีเรื่องเกิดขึ้น ท่านก็จะยิงพระองค์เอง แล้วให้สมัครเป็นคนยิงฉัน ส่วนสมัครจะทำอะไรกับตัวเองหรือไม่ก็ช่าง...” (นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, 2549)
ขณะที่เขียนบทความนี้ ยังไม่แน่ใจนักว่าสถานการณ์ของบ้านเมืองและการเมืองไทย ในห้วงเวลาต่อจากนี้ไป จะดำเนินไปอย่าง จะเกิดอะไรขึ้นบ้างในอนาคต จะวนเวียนซ้ำซากเหมือนในอดีตหรือไม่
แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 60 ปี ผมคิดว่าปวงชนชาวไทยทุกคน มีความตระหนักดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ตามพระปฐมบรมราชโองการ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวไทย ทรงทำให้บ้านเมืองมีความร่มเย็น ทรงทำให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่ามีอยู่มีกินอย่างพอเพียง ทรงทำให้ประเทศไทยมีความเป็นปึกแผ่น เป็นประเทศประชาธิปไตยที่สามารถผสมผสานหลักการใหม่ๆ และหลักคุณธรรมให้เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ มาด้วยความเสียสละ อดทนและความรักที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
ผมมั่นใจครับว่าใครก็ตามที่เหิมเกริมเข้าพวกกัน “ก่อการร้าย” เหยียบย่ำทำลายชาติบ้านเมือง และพยายามจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือตั้งใจจะทำให้พระองค์ต้องเสียพระราชหฤทัย จะต้องถูกปวงชนชาวไทยสาปแช่งและถูกต่อต้านอย่างถึงที่สุด ไม่มีวันได้เป็นใหญ่ในประเทศนี้แน่นอน
อ่านต่อ >>

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปัจฉิมนิเทศ ม.3 ร.ร.ทบอ.บูรณวิทยา





วันที่ ศุกร์ที่ 19 มีนาคม 2553 โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ บูรณวิทยา จัดพิธีมอบประกาศนียบัตร และ ปัจฉิมนิเทศ ให้กับนักเรียนชั้น ม. 3 ณ อาคารอเนกประสงค์ โดยประธานในพิธี พันเอกสุชาต จันทรวงศ์ ได้กระทำพิธีมอบและกล่าวให้โอวาท โดยมุ่งหวังและอวยพรให้นักเรียน ก้าสู้ต่อไป ในการศึกษาในวันข้างหน้าอย่าย่อท้อ โดยครูทุกคนยังพร้อมเป็นกำลังใจให้นักเรียนเสมอ














ภาพบรรยากาศภายในงาน







อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฟังนิทาน...เสริมสร้างนิสัยรักการอ่าน

เด็กๆ กับนิทานถ้าจัดเป็นของคู่กัน ก็คงไม่ผิด เพราะเด็กๆที่เนอสเซอรี่บ้านแม่พระอุปถัมภ์จะต้องได้ฟังนิทานทุกวันค่ะ วันไหนคุณครูลองไม่เล่านิทานเด็กๆก็จะทวงหรือหยิบหนังสือมาให้คุณครูอ่านให้ฟัง เพราะการฟังนิทานเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ การเสริมสร้างจินตนาการความคิดสร้างสรรค์และสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับลูกรัก
ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะยุ่งกับงานต่างๆมากมายแต่ก็ควรมีเวลาการอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวันนะคะ เพราะการอ่านหนังสือให้ลูกฟังทุกวัน ฟังบ่อยๆ จะทำให้ลูกมีทักษะทางภาษา ได้เรียนรู้เรื่องราว ประสบการณ์ต่างๆ เสริมสร้างจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ เป็นเด็กอารมณ์ดี ร่าเริงแจ่มใส ช่างสังเกต ช่างซักถามในสิ่งที่สงสัยและสร้างนิสัยรักการอ่าน แต่ก่อนที่จะเล่านิทานให้ลูกรักฟังก็ควรสร้างบรรยากาศสนุกๆ ชวนกันคุย แล้วก็หยิบหนังสือมาคุยกับลูก โดยเริ่มตั้งแต่หน้าปกหนังสือ ลองถามว่าหนูอยากฟังนิทานไหม เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลูกเกิดความสนใจ และเวลาที่เล่าก็ใช้ลีลา ท่าทาง น้ำเสียงที่แตกต่างกันตามตัวละคร เพื่อให้เรื่องราวดูน่าตื่นเต้น น่าติดตาม และเว้นจังหวะหรือกระตุ้นให้ลูกมีส่วนร่วมในการเล่านิทานด้วยเช่น คุยกับลูกว่านี้คือตัวอะไร เขากำลังทำอะไร อย่างไหนดี อย่างไหนไม่ดี ฯลฯ ไม่ใช่ให้ลูกฟังอย่างเดียว
หนังสือนิทานไม่ควรมีเนื้อหายาวเกินไป ควรเป็นคำๆ หรือประโยคสั้นๆ ใช้ภาษาที่ง่ายต่อการเข้าใจของเด็กพร้อมภาพประกอบที่มีสีสันสวยงาม สดใสเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกและนิทานบางเรื่องที่สอดแทรกคุณธรรม เช่น ความอดทน การใช้เหตุผล การมีระเบียบวินัย ฯลฯ เราก็จะใช้สอนลูกไปในตัวด้วย
นอกจากประโยชน์ที่ได้กล่าวแล้วนิทานยังเป็นหนึ่งในกิจกรรมต่างๆอีกหลายกิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัวที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกให้มีความรักความอบอุ่นมากขึ้น แต่ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นต้นแบบให้ลูกเพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่รักการอ่านหรืออ่านหนังสือให้ลูกฟังเป็นประจำลูกรักก็จะเป็นเด็กที่รักการอ่านเหมือนกับลูกไม้ที่หล่นไม่ไกลต้น
อ่านต่อ >>

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

บูรณวิทยา ต้านยาเสพติด

โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ บูรณวิทยา ได้รับงบประมาณ จากศูนย์ป้องกันยาเสพติดของท่านผู้ว่า ให้จัดกิจกรรมต้านยาเสพติด
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2553 จัดอบรม การป้องกันปัญหายาเสพติดโดยวิทยากรจากกองร้อยทหารพราน
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2553 ทัศนศึกษา เรือนจำกลางเขาบิน ราชบุรี
้วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2553 ทัศนศึกษา สถานพินิจและคุมครองเด็ก ราชบุรี









ประธานนักเรียนร่วมร้องเพลงกับพี่ ๆ
ผู้ต้องขังในแดนการศึกษา เรือนจำกลางเขาบิน


ับว่าได้ควารู้มากมายแก่เด็กและเยาวชน


ภาพ..และข่าวโดย ครูกาญจน์

***สนใจภาพกิกรรมเพิ่มเติมได้ที่ www.buarmy.com
อ่านต่อ >>

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ค่ายลูกเสือสวนสยาม แสนสนุก

โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์ บูรณวิทยา



จัดกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือสามัญ และสามัญรุ่นใหญ่ ที่สวนสยาม ทะเลกรุงเทพ


โดยใช้งบฯ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามที่รัฐ จัดสรรให้เกิดกับผู้เรียนอย่างเต็มศักยภาพ


ตามปรัชญาโรงเรียน

มีจิตวิญญาณไทย ใจเป็นสากล

เปี่ยมล้นเทคโนโลยี ชีวีพอเพียง


โรงเรียนได้จัดกิจกรรมตามเม็ดเงินที่รัฐจัดให้ ปีนี้ นักเรียนของเราได้ท่องเที่ยว ซาฟารีเวิล์ด
ดรีมเวิล์ด สวนสยาม และกิจกรรม ICT.ที่โรงเรียนอีกมากมาย
ในช่วงชีวิตหนึ่งของเด็กธรรมดาคนหนึ่ง หากโรงเรียนไม่จัดโอกาสให้ เขาจะได้โอกาส จากที่ใด
แล้วโรงเรียนอื่นที่ได้งบประมาณที่เท่ากันหล่ะ? จัดได้อย่างนี้มั๊ย?

ภาพโดย..ครูสมใจ

เขียนข่าวโดย ครูกาญจน์



อ่านต่อ >>

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

ค่ายบุรฉัตร จัดวันเด็กย่ิงใหญ่


ค่ายบุรฉัตร จ.ราชบุรีจัดงายวันเด็กยิ่งใหญ่ ไว้เตรียมต้อนรับเยานชนชาวค่าย และบุคลลทั่วไปอย่างยิ่งใหญ่ โดยการเตรียมงานได้ต่าง ๆ ทุกภาคส่วนในค่ายได้ร่วมกันจัดให้เป็นไปตามนโยบาย ผู้บังคับการกองพลทหารช่าง พลตรีคณิต แจ่มจันทรา โดยเน้นการถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทั้งนี้โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์บูรณวิทยา ได้เตรียมจัดกิจกรรมเกมส์ทางการศึกษาต่าง การทำน้ำสมุนไพร กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา กิจกรรมลอดถ้ำเสือ ศิริมงคลปีขาลทอง เสือใจดี ขอให้เด็ก ๆ เตรียมตัวให้พร้อมพบกันวันเสาร์ที่ 9 มกราคมนี้

"...เด็ก ต้องทำตัวให้สุภาพอ่อนโยน หมั่นขยันเอา การเอางานเอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยความเต็มใจอยู่เสมอ ให้ติดเป็นนิสัย จักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมี ประโยชน์และมีความเจริญมั่นคงในชีวิต.."

วามตอนหนึ่ง ในพระบรมราโชวาท

พระราชทานเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๒๙

อ่านต่อ >>