วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ระเบิดเวลาลูกใหญ่ของสังคมไทย

มุมมอง...ธัญญา ศิโรรัตน์ธัญโชค

ระเบิดเวลาลูกใหญ่ของสังคมไทย

ผมถือว่าปัญหาเด็ก และเยาวชน เป็นเรื่องใหญ่ของสังคมและครอบครัว หากไม่มีการจัดการแก้ไขกันอย่างถูกต้องให้ถึงรากเหง้าของปัญหา ก็อาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ของสังคมไทยในอนาคตได้

เพราะเด็กวันนี้ ก็คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เหมือนกับพวกเด็กๆเมื่อ 35 ถึง 60 กว่าปีที่แล้ว ที่กำลังออกลาย อาละวาดทำร้ายทำลายเศรษฐกิจ สังคมและความสงบสุขของประเทศไทย แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างไร้ยางอาย ไม่เกรงกลัวชั่วบาปกันอยู่ในเวลานี้

ไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อครับ เมื่อสถาบันรามจิตติ(2553) รายงานผลการวิจัยว่า ตลอดปี 2552 มีเด็กสาวอายุต่ำกว่า 19 ปี ทำคลอดถึง 6.9 หมื่นราย คิดเฉลี่ยวันละ 190 ราย

ที่น่าเศร้าใจก็คือ ในจำนวนนี้ มีทั้งเด็กหญิงและนางสาวที่ยังอยู่ในวัยเรียนระดับมัธยมตอนต้นและตอนปลาย ในโรงเรียนอาชีวศึกษาและสามัญศึกษา ตลอดจนระดับอุดมศึกษารวมอยู่ด้วย และเด็กอาชีวะกับเด็กระดับอุดมศึกษาถึง 37 เปอร์เซ็นต์ ก็ยอมรับว่าเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว

แน่นอนครับว่า เมื่อเด็กตั้งครรภ์ อนาคตทางการเรียนก็จำต้องหยุดชะงักลง 1-2 ปี เป็นอย่างน้อย เพราะคงไม่มีโรงเรียนหรือสถานศึกษาแห่งไหนยอมให้เด็กอุ้มท้องเข้าไปนั่งเรียนอวดสายตาเพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนแน่
แม้ว่าจะมีการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย หรือ กศน.รองรับ แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าไปเรียนได้อย่างต่อเนื่องในบัดดล เพราะถ้าเด็กอายุไม่ถึง 15 ปี หรือออกไปไม่ถูกจังหวะเวลาที่เขาเปิดรับสมัคร ก็คงต้องอุ้มท้องรอไปก่อน

ถึงคลอดลูกแล้วก็อย่าหวังว่า จะได้กลับเข้าไปเรียนร่วมกับเพื่อนๆได้ตามปกติ เหมือนกับตอนที่ยังเป็นเด็กหญิง หรือนางสาวคิกขุอาโนเนะ ไร้เดียงสาดังแต่ก่อน

ส่วนใหญ่โรงเรียนประเภทสามัญศึกษาก็ต้องขอร้องให้เด็กลาออก เชิญให้ออก หรือไล่ออกตั้งแต่เริ่มรับรู้ว่าเด็กจับคู่มีเพศสัมพันธ์ หรือเมื่อรู้ว่าเด็กเริ่มตั้งครรภ์แล้ว

เพราะถ้าไม่ให้ออกก็ต้องคอยตอบคำถามผู้ปกครองเด็กคนอื่นๆ และต้องทนรับฟังเสียงเล่าลือถึงกิตติศัพท์ฉาวโฉ่ทางเพศของลูกศิษย์ให้ได้

สุดท้ายเด็กบางคนก็จะกลายเป็นเหยื่อลมปากของเพื่อนร่วมสถาบัน บางรายก็เลยกลายเป็นเด็กใจแตกใจง่ายเป็นเหยื่อของนักล่าสวาททั้งในและนอกโรงเรียน หรือไม่ก็แปรผันตัวเองเป็นนักเก็บสถิติอันไม่พึงประสงค์ โดยที่อาจจะเต็มใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็เป็นได้

ถ้าลูกหลานใครต้องตกอยู่ในชะตากรรมเช่นนี้ ก็นับว่าน่าเวทนาสงสารเป็นอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุเหล่านี้หรือเปล่า ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุข จึงชง(ร่าง)พระราชบัญญัติคุ้มครองอนามัยเจริญพันธุ์ พ.ศ..... เสนอท่านรัฐมนตรีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พิจารณาเสนอคณะรัฐมนตรี ออกเป็นกฎหมายรับรองสิทธิของทุกคนที่จะต้องมีอนามัยการเจริญพันธุ์ที่ดี

และยังช่วยป้องกันการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิด้านต่างๆของหญิงมีครรภ์ด้วย ซึ่งหากมองโดยมุมของหลักสิทธิมนุษยชน ก็นับว่าเป็นหลักการที่ดี

แต่หลายคนก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจ ในสาระบัญญัติแห่งมาตรา 12 ที่ว่า “ในกรณีที่ สถานศึกษา มีหญิงมีครรภ์ ที่อยู่ในระหว่างศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาต้องอนุญาตให้หญิงมีครรภ์ ศึกษาต่อในระหว่างตั้งครรภ์ และกลับมาศึกษาต่อได้ภายหลังคลอดบุตรแล้ว”

อันนี้รู้สึกว่าครูอาจารย์ รวมทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะช็อกครับ ยอมรับกันไม่ค่อยได้

แม้กระทั่งนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(ศธ.) ก็ยังแทงกั๊ก โดยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน(มติชน 9 ก.ค.2553)ว่า “เรื่องนี้ทาง ศธ.กำลังติดตามอยู่ ซึ่งที่ผ่านมา ศธ.เน้นเรื่องของมาตรการป้องกัน เพราะตัวเลขของนักเรียนที่ประสบปัญหาดังกล่าวมีเพิ่มขึ้นทุกปี”

ท่านรัฐมนตรี ชินวรณ์ บอกด้วยครับว่า ที่ผ่านมาได้เข้าไปดูแลเรื่องหลักสูตรของวิชาเพศศึกษาให้เหมาะสมแต่ละวัย ซึ่งก็ตรงกับสาระบัญญัติมาตราที่ 7 แห่งร่าง พระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวที่ ให้สถานศึกษาจัดให้มีการสอนเพศศึกษาอย่างถูกต้องเหมาะสมกับวุฒิภาวะและวัยของผู้เรียน

แต่...โปรดย้อนกลับไปอ่านคำให้สัมภาษณ์ของท่านรัฐมนตรีชินวรณ์ที่ย่อหน้าแรก โดยเฉพาะวรรคท้ายในเครื่องหมายคำพูดอีกครั้ง ว่าทำไมท่านรัฐมนตรีถึงอิดออดไม่ยอมรับลูกเรื่อง นี้ในฉับพลันทันที

พูดให้ชัดคือ กระทรวงศึกษาธิการกำลังประสบกับความล้มเหลว ในมาตรการป้องกันหรือการใช้หลักสูตรเพศศึกษาในโรงเรียน ใช่หรือไม่ ? จำนวนตัวเลขของนักเรียนที่ประสบปัญหาจึงเพิ่มขึ้นทุกปี

ขนาดท่านรัฐมนตรีมีครูและผู้บริหารสถานศึกษาราว 6-7 แสนคนอยู่ในมือเด็ก(หญิง)ยังยับเยิน แล้วกระทรวงคุณหมอมียาดีอะไรไม่ทราบ จึงกล้าหาญชาญชัยออกกฎหมายมารับรองสิทธิเด็ก(หญิง)ที่ตั้งครรภ์ แบบเตะทิ้งขนบธรรมเนียมประเพณีทางการศึกษา

ซึ่งถือปฏิบัติกันมาแต่เดิมว่านักเรียนนักศึกษาต้องมีสถานะภาพโสด ไม่มีครอบครัว ไม่มีลูกมากวนตัว มีผัวมีเมียมากวนใจในระหว่างวัยเรียน

ผมไม่ได้มีจิตเจตนาที่จะละเลยสิทธิในความเป็นมนุษย์ สิทธิที่จะต้องได้เรียน ได้รับการคุ้มครองของเด็ก(หญิง)แต่ประการใดนะครับ แต่สิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องมีกรอบขอบเขตที่ถูกต้องเหมาะสม ปัญหาและผลกระทบจึงจะไม่เกิดทั้งกับตัวบุคคล สังคมและระบบ

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเคยตรัสสอนไว้ว่า ...สิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตยนี้ต้อง “พอสมควร”...

ในหนังสือ “ดอนบอสโก นักอบรม” ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในการช่วยเหลือบรรดาเด็กและเยาวชนชาย หญิงให้พ้นจากความเสื่อมทรามของสังคมในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ก็กล่าวไว้ว่า
“การอบรมที่มุ่งแต่ด้านวิชาการ ศิลปะและความก้าวหน้าฝ่ายร่างกาย โดยละเว้นด้านศีลธรรม ฤทธิกุศล และอิสรภาพอันมีขอบเขต จะนำความพินาศมาสู่มนุษย์ ครอบครัวและประเทศชาติอย่างไม่ต้องสงสัย”

ผมไม่อยากกล่าวหาหรอกครับว่า ที่การศึกษาไทยล้มเหลวจมปลักมาถึงทุกวันนี้ ก็เพราะคนของพรรคประชาธิปัตย์ครองเก้าอี้กระทรวงนี้อยู่มากกว่า 20 ปี มาเจอะพรรคชาติไทยหักไม้เรียวซ้ำ

และพรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณ ขยี้ซ้ำจนช้ำเลือดช้ำหนอง เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ตามเกณฑ์เป็นหมื่นเป็นแสนคน ซึ่งผลของฝีหนองกำลังแตกเละให้เห็นอยู่ในเวลานี้

อย่าพึ่งเที่ยวไปเอาอย่างสิงคโปร์ หรือประเทศที่การศึกษาและคนของเขาได้รับการพัฒนาดีถึงระดับหนึ่งแล้ว มาเปรียบเทียบกับเด็ก เยาวชนและสังคมไทยในเวลานี้นะครับ ผมขอร้องล่ะ...

ลองนึกภาพดูสิครับ ประเทศและสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร ถ้าหากผู้ใหญ่ในอนาคตวันนี้ ยังเป็นเด็กที่ไม่เอาถ่าน อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ คิดไม่เป็น แถมเป็นเด็กที่มีปัญหา เป็นแม่เป็นพ่อที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่เลี้ยงลูกไม่ถูกต้อง อบรมลูกไม่เป็นเท่านั้น แต่ทว่าตัวเองก็ยังเอาไม่รอดด้วย ซักถุงเท้า-ชุดชั้นในเองเป็นหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยครับ

แต่จะว่าไปแล้ว หันกลับมาโทษผู้ใหญ่อย่างเราๆกันเองดีกว่าครับ เพราะเด็กก็คือเด็ก ถ้าผู้ใหญ่เป็นพ่อปูแม่ปู เด็กก็เป็นลูกปู ถ้าครูบาอาจารย์เป็นได้แค่ชะนี ไม่ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนเด็กทั้งความรู้และคุณธรรม และปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างที่ดี แล้วใครล่ะครับ! จะเป็นผู้อบรมเด็กให้เป็นคนดีได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น