วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อย่าให้เป็น...รัฐมาร...เลย


                กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก ที่ความเชื่อแบบคริสตชนสอนให้รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง และจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์ คำสอนที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาแก่พุทธสาวก และปรากฎการณ์สำคัญที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต
                แต่ดูเหมือนประเทศไทยกำลังก้าวสู่บรรยากาศของความตึงเครียด มากกว่าบรรยากาศของความรักและธรรมปฏิบัติ ที่สงบเย็น สันติและเบิกบาน
เหตุการณ์ชุมนุมในประเทศของกลุ่ม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กับกลุ่ม เครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติที่ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน และกลุ่ม คนเสื้อแดง หรือ นปช. (ซึ่งนัดหมายว่าจะชุมนุนกัน 19 ก.พ.2554)  เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศกับเขมรถึงขั้นปะทะกันในรูปแบบสงครามย่อยๆ  และปรากฏการณ์สินค้าราคาแพงที่กำลังทวีความรุนแรง และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยจำนวนมากทั้งประเทศ
                สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในเวลานี้ ย่อมสะท้อนถึงเหตุปัจจัย อันเป็นที่มาเป็นของเหตุการณ์ทั้งปวงที่อุบัติขึ้น
                ประการ หนึ่ง ย่อมส่อสะท้อนถึง ความไม่เอาไหนของรัฐบาลในด้านการเมืองการปกครอง ที่ไม่สามารถทำให้รัฐและประชาชน รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้ แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้ว 2 ปี
          และไม่สามารถดำเนินนโยบายสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกับประเทศเขมร ซึ่งเป็น คู่กัดมาตั้งแต่เริ่มต้นรัฐบาลอภิสิทธิ์1 ทำให้ภาพความล้มเหลวของการเมืองระหว่างประเทศกำเริบชัดขึ้น จากสถานการณ์สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา
                ประการ หนึ่ง ย่อมส่อสะท้อนถึง ความไม่เอาไหนของรัฐบาลในด้านการบริหารเศรษฐกิจและการค้าในประเทศ แม้ว่าตัวเลขการส่งออกจะดีอย่างต่อเนื่อง แต่ในประเทศกลับเกิดภาวะสินค้าอุปโภคบริโภคราคาแพง สินค้าและผลผลิตการเกษตรขาดแคลน ตัวเลขเงินเฟ้อและค่าครองชีพมีแนวโน้มปรับตัวพุ่งสูงขึ้นจากภาวะน้ำมันแพง และสินค้าราคาแพง
          ประการหนึ่ง ย่อมส่อสะท้อนถึง ความไม่เอาไหนของรัฐบาล ด้าน ธรรมาภิบาล หรือการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี ทำให้ปัญหาสาธารณะกลายเป็นระเบิดแสวงเครื่องในสังคมไทย ที่พร้อมจะระเบิดปัญหาความเดือดร้อนและผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สวัสดิการและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาสังคมไทย ให้พังพินาศได้ทุกเมื่อ
                เมื่อรัฐบาลไม่เอาไหนเหตุปัจจัยเอกประการสำคัญที่เป็น เหตุแห่งทุกข์แท้จริง จึงพุ่งเป้าไปที่ นักการเมือง ที่เล่นบท รัฐมนตรีและ นายกรัฐมนตรีที่ใช้อำนาจการบริหารรัฐกิจ และปกครองประเทศ อย่างหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้
                แต่หนทางและประเด็นของการดับทุกข์ เพื่อเรียกความรักความสามัคคี ความสงบสันติสุขของรัฐชาติ ของรัฐบาลและนักการเมือง กลับชี้เป้าพุ่งปากกระบอกปืนไปที่ประชาชนเพียงฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ?
                ทั้งๆที่ โอวาทปฏิโมกข์บ่มสอนให้ ดับทุกข์...ที่เหตุแห่งทุกข์ และ เหตุสำคัญแห่งทุกข์อยู่ที่ นักการเมืองและรัฐบาล
               
                                                               THANYA101@HOTMAIL.COM

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น