วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2552
นิทานกับการพัฒนาไอคิวและอีคิวลูกรักวัย 0-5 ปี
นิทาน คือ โลกของภาษาและจินตนาการที่มีความหมายและความสำคัญต่อพัฒนาการรอบด้านของเด็กๆ โดยเฉพาะด้านสติปัญญา อารมณ์และจิตใจ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกอย่างอัลเบิร์ตไอสไตน์ ยังกล่าวว่า ถ้าอยากให้เด็กๆฉลาดพ่อแม่ต้องเล่านิทานให้ลูกฟัง
จากการสังเกตเด็กๆ ที่ เนอสเซอรี่บ้านแม่พระอุปถัมภ์ เราพบความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกวันเด็กๆจะรอคอยเวลาฟังนิทาน เพราะถ้าเห็นครูหยิบหนังสือเมื่อไร เด็กๆก็จะเดินตามมานั่งใกล้ๆเพื่อฟังนิทาน เรื่องราวต่างๆที่ครูจะเล่าประกอบกับการดูภาพ เด็กๆจะฟังนิทานด้วยความตั้งใจ สนใจมีสีหน้าท่าทางที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก ตื่นเต้น สนุกสนาน คล้อยตามเรื่องที่ได้ฟังอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหนังสือนิทานที่มีเนื้อหาถูกใจ มีภาพสีสันสวยงามประกอบ เด็กๆจะเรียกร้องขอให้ครูเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในแต่ละวันถ้าคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูกรัก เล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ฟังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยส่งเสริมทักษะทางภาษาของลูกรัก ช่วยเสริมสร้างสมาธิในการฟังการดู การสังเกตจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และคุณธรรมจริยธรรมซึ่งเป็นคุณลักษณะและทักษะสำคัญของการเรียนรู้ รวมทั้งส่งผลต่อพัฒนาการทั้ง 4 ด้านได้เป็นอย่างดี ในอนาคตลูกรักจะนำคำและข้อมูลภาพต่างๆที่สะสมไว้จากการเรียนรู้ การดูและการฟังมาใช้ในการพูด เล่าเรื่อง พัฒนาไปสู่การอ่านและการเขียนได้อย่างดีมากๆทีเดียว
และจากการพูดคุยกับครูเอและครูแอ๊ว คุณครูของเด็กๆบ้านแม่พระอุปถัมภ์ ทำให้เรามีเคล็ด(ไม่) ลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่ต้องการเล่านิทานให้ลูกรักฟังด้วยค่ะ
& สร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกน้อยพร้อมที่จะฟัง เช่น ลูบท้องวนหลายๆรอบ(กรณีลูกน้อยยังอยู่ในครรภ์) โอบกอดและชูหนังสือนิทานให้ลูกน้อยดูและถามว่า...อยากฟังไหมคะ/ครับ ฯลฯ
& เวลาเล่าให้ใช้น้ำเสียง สูง ต่ำ สีหน้า ท่าทาง แสดงให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ อารมณ์หรือลักษณะ
ของตัวละคร
& ควรสบตากับลูกรักเพื่อเรียกร้องความสนใจ การมีส่วนร่วมกับลูกรักในขณะเล่านิทาน
& เปิดโอกาสให้ลูกรักได้ซักถามหรือตอบคำถาม กระตุ้นให้ได้ตอบได้มีส่วนร่วมในการเล่านิทาน
& ให้แรงเสริมเมื่อลูกรักมีส่วนร่วมในการเล่านิทานอย่างสนุกสนาน เช่น คำชมเชย ปรบมือ
& ใช้คำถามที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องตายตัว เพื่อฝึกทักษะกระบวนการคิด การแก้ปัญหาหรือเป็น
การทบทวนความจำ และสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันได้
& ถ้ามีเพลงหรือคำคล้องจองประกอบด้วยก็จะดีมาก เพราะการทำท่าประกอบ การเคาะ การ
เคลื่อนไหวไปพร้อมกับการฟังก็เป็นสิ่งที่ลูกรักในวัยนี้ชอบมากๆเหมือนกัน
& ใช้เวลาในการเล่าที่เหมาะสมกับความสนใจของลูกรักไม่น้อยหรือนานเกินไป ประมาณ 15-20
นาที
การเสียสละเวลาวันละ 15-20นาทีในแต่ละวันเพื่อปลูกปั้นวัฒนธรรมการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่วัฒนธรรมแห่งปัญญาของลูกน้อยในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เขาเติบโตเป็นคนดี คนมีปัญญา เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่คุ้มเกินคุ้มจริงๆค่ะ
อ่านต่อ >>
จากการสังเกตเด็กๆ ที่ เนอสเซอรี่บ้านแม่พระอุปถัมภ์ เราพบความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งก็คือ ทุกวันเด็กๆจะรอคอยเวลาฟังนิทาน เพราะถ้าเห็นครูหยิบหนังสือเมื่อไร เด็กๆก็จะเดินตามมานั่งใกล้ๆเพื่อฟังนิทาน เรื่องราวต่างๆที่ครูจะเล่าประกอบกับการดูภาพ เด็กๆจะฟังนิทานด้วยความตั้งใจ สนใจมีสีหน้าท่าทางที่แสดงถึงอารมณ์ความรู้สึก ตื่นเต้น สนุกสนาน คล้อยตามเรื่องที่ได้ฟังอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะหนังสือนิทานที่มีเนื้อหาถูกใจ มีภาพสีสันสวยงามประกอบ เด็กๆจะเรียกร้องขอให้ครูเล่าให้ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในแต่ละวันถ้าคุณพ่อคุณแม่มีโอกาสได้พูดคุยกับลูกรัก เล่านิทานหรืออ่านหนังสือให้ฟังอย่างสม่ำเสมอจะช่วยส่งเสริมทักษะทางภาษาของลูกรัก ช่วยเสริมสร้างสมาธิในการฟังการดู การสังเกตจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และคุณธรรมจริยธรรมซึ่งเป็นคุณลักษณะและทักษะสำคัญของการเรียนรู้ รวมทั้งส่งผลต่อพัฒนาการทั้ง 4 ด้านได้เป็นอย่างดี ในอนาคตลูกรักจะนำคำและข้อมูลภาพต่างๆที่สะสมไว้จากการเรียนรู้ การดูและการฟังมาใช้ในการพูด เล่าเรื่อง พัฒนาไปสู่การอ่านและการเขียนได้อย่างดีมากๆทีเดียว
และจากการพูดคุยกับครูเอและครูแอ๊ว คุณครูของเด็กๆบ้านแม่พระอุปถัมภ์ ทำให้เรามีเคล็ด(ไม่) ลับมาฝากคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ที่ต้องการเล่านิทานให้ลูกรักฟังด้วยค่ะ
& สร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกน้อยพร้อมที่จะฟัง เช่น ลูบท้องวนหลายๆรอบ(กรณีลูกน้อยยังอยู่ในครรภ์) โอบกอดและชูหนังสือนิทานให้ลูกน้อยดูและถามว่า...อยากฟังไหมคะ/ครับ ฯลฯ
& เวลาเล่าให้ใช้น้ำเสียง สูง ต่ำ สีหน้า ท่าทาง แสดงให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ อารมณ์หรือลักษณะ
ของตัวละคร
& ควรสบตากับลูกรักเพื่อเรียกร้องความสนใจ การมีส่วนร่วมกับลูกรักในขณะเล่านิทาน
& เปิดโอกาสให้ลูกรักได้ซักถามหรือตอบคำถาม กระตุ้นให้ได้ตอบได้มีส่วนร่วมในการเล่านิทาน
& ให้แรงเสริมเมื่อลูกรักมีส่วนร่วมในการเล่านิทานอย่างสนุกสนาน เช่น คำชมเชย ปรบมือ
& ใช้คำถามที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องตายตัว เพื่อฝึกทักษะกระบวนการคิด การแก้ปัญหาหรือเป็น
การทบทวนความจำ และสามารถเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันได้
& ถ้ามีเพลงหรือคำคล้องจองประกอบด้วยก็จะดีมาก เพราะการทำท่าประกอบ การเคาะ การ
เคลื่อนไหวไปพร้อมกับการฟังก็เป็นสิ่งที่ลูกรักในวัยนี้ชอบมากๆเหมือนกัน
& ใช้เวลาในการเล่าที่เหมาะสมกับความสนใจของลูกรักไม่น้อยหรือนานเกินไป ประมาณ 15-20
นาที
การเสียสละเวลาวันละ 15-20นาทีในแต่ละวันเพื่อปลูกปั้นวัฒนธรรมการเรียนรู้ ที่จะนำไปสู่วัฒนธรรมแห่งปัญญาของลูกน้อยในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้เขาเติบโตเป็นคนดี คนมีปัญญา เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ เป็นเรื่องที่คุ้มเกินคุ้มจริงๆค่ะ
วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552
กิจกรรมศิลปะ...สำคัญกับลูกน้อยอย่างไร
คุณพ่อคุณแม่หรือท่านผู้ปกครองทราบไหมคะว่า กิจกรรมศิลปะสามารถพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ สร้างจินตนาการและช่วยให้เด็กมีลักษณะอ่อนโยน
เด็กวัย 2 – 4 ปี เป็นวัยแห่งการขีดเขี่ย โดยเริ่มจากการขีดเขี่ยแบบไม่มีทิศทาง ไร้การควบคุมแต่ถ้าเด็กได้ทำซ้ำบ่อยๆก็จะสามารถควบคุมกล้ามเนื้อมือได้และถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกมา การให้เด็กได้จับสีและดินสอทันทีที่เด็กใช้นิ้วทั้ง 5 ได้ เด็กๆจะสามารถเขียนหนังสือและใช้มือทำงานต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเด็กที่เริ่มจับดินสอเมื่อเข้าเรียนอนุบาลนะคะ
การใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สีเทียน สีน้ำ ดินน้ำมัน กระดาษ ลูกแก้ว กาว ฯลฯ จะกระตุ้นการเรียนรู้ด้านศิลปะ เรียนรู้ความเหมือนความแตกต่างของวัสดุและสีสันต่างๆได้เป็นอย่างดีค่ะ
การจัดกิจกรรมให้เด็กสนุกสนานกับการทำกิจกรรมศิลปะ เช่น การวาดภาพระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ การฉีก การตัดปะกระดาษและงานประดิษฐ์เศษวัสดุ ฯลฯ เด็กจะรู้จักการสร้างสรรค์และดัดแปลงชิ้นงานของตนเอง ฝึกการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ฝึกสมาธิ รู้จักการปรับตัว การแบ่งปันและการรอคอยในการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความรับผิดชอบด้วยนะคะ
ในการทำงานศิลปะครูหรือคุณพ่อคุณแม่อาจจะคอยให้ความช่วยเหลือบ้างเป็นบางครั้ง แต่การทำงานศิลปะแต่ละครั้งควรจะทำข้อตกลงกันก่อน เช่น ไม่เขียนข้างฝา ไม่เอาสี /ลูกแก้ว ใส่ปาก ทำเสร็จแล้วต้องเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อยอย่างนี้ก็จะเป็นการฝึกและปลูกฝังให้ลูกมีวินัยในตนเองด้วยนะคะ
ที่สำคัญคือในการทำงานศิลปะแต่ละครั้งควรอยู่ในความดูแลของครู / คุณพ่อคุณแม่อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดจากการทำกิจกรรมค่ะ
บ้านเด็กเล็กแม่พระอุปถัมภ์ ดอนกลาง
อ่านต่อ >>
เด็กวัย 2 – 4 ปี เป็นวัยแห่งการขีดเขี่ย โดยเริ่มจากการขีดเขี่ยแบบไม่มีทิศทาง ไร้การควบคุมแต่ถ้าเด็กได้ทำซ้ำบ่อยๆก็จะสามารถควบคุมกล้ามเนื้อมือได้และถ่ายทอดความรู้สึกภายในออกมา การให้เด็กได้จับสีและดินสอทันทีที่เด็กใช้นิ้วทั้ง 5 ได้ เด็กๆจะสามารถเขียนหนังสือและใช้มือทำงานต่างๆได้อย่างคล่องแคล่วกว่าเด็กที่เริ่มจับดินสอเมื่อเข้าเรียนอนุบาลนะคะ
การใช้วัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น สีเทียน สีน้ำ ดินน้ำมัน กระดาษ ลูกแก้ว กาว ฯลฯ จะกระตุ้นการเรียนรู้ด้านศิลปะ เรียนรู้ความเหมือนความแตกต่างของวัสดุและสีสันต่างๆได้เป็นอย่างดีค่ะ
การจัดกิจกรรมให้เด็กสนุกสนานกับการทำกิจกรรมศิลปะ เช่น การวาดภาพระบายสี การปั้น การพิมพ์ภาพ การพับ การฉีก การตัดปะกระดาษและงานประดิษฐ์เศษวัสดุ ฯลฯ เด็กจะรู้จักการสร้างสรรค์และดัดแปลงชิ้นงานของตนเอง ฝึกการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน ฝึกสมาธิ รู้จักการปรับตัว การแบ่งปันและการรอคอยในการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และความรับผิดชอบด้วยนะคะ
ในการทำงานศิลปะครูหรือคุณพ่อคุณแม่อาจจะคอยให้ความช่วยเหลือบ้างเป็นบางครั้ง แต่การทำงานศิลปะแต่ละครั้งควรจะทำข้อตกลงกันก่อน เช่น ไม่เขียนข้างฝา ไม่เอาสี /ลูกแก้ว ใส่ปาก ทำเสร็จแล้วต้องเก็บของเข้าที่ให้เรียบร้อยอย่างนี้ก็จะเป็นการฝึกและปลูกฝังให้ลูกมีวินัยในตนเองด้วยนะคะ
ที่สำคัญคือในการทำงานศิลปะแต่ละครั้งควรอยู่ในความดูแลของครู / คุณพ่อคุณแม่อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดจากการทำกิจกรรมค่ะ
บ้านเด็กเล็กแม่พระอุปถัมภ์ ดอนกลาง
วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ขอรับบริจาค ร่วมด้วยช่วยกัน
โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์บูรณวิทยาจัดกิจกรรม โครงการปันน้ำใจ-ให้ด้วยรัก แด่น้อง ๆ ผู้ด้อยโอกาส เขตอำเภอสวนผึ้ง
โดยรับบริจาค เสื้อผ้ากันหนาว ของใช้ ตุ๊กตา ที่อยู่ในสภาพดีเพื่อปลูกฝังการมีน้ำใจ และจิตสาธารณะแด่ผู้อื่น
จึงขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศัทธาร่วมบริจาคสิ่งของได้ที่ โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์
บูรณวิทยา หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ ครูกาญจน์ 085-8129566
หรือ kan-za@windowslive.com
นักเรียนแกนนำรับมอบสิ่งของจากน้องๆ
ตุ๊กตาหรือของเล่นเราก็รับ
ลงทะเบียนของบริจาคเพื่อแยกกลุ่ม
ภาพโดย..ครูกาญจน์
อ่านต่อ >>
โดยรับบริจาค เสื้อผ้ากันหนาว ของใช้ ตุ๊กตา ที่อยู่ในสภาพดีเพื่อปลูกฝังการมีน้ำใจ และจิตสาธารณะแด่ผู้อื่น
จึงขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศัทธาร่วมบริจาคสิ่งของได้ที่ โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์
บูรณวิทยา หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ ครูกาญจน์ 085-8129566
หรือ kan-za@windowslive.com
นักเรียนแกนนำรับมอบสิ่งของจากน้องๆ
ตุ๊กตาหรือของเล่นเราก็รับ
ลงทะเบียนของบริจาคเพื่อแยกกลุ่ม
ภาพโดย..ครูกาญจน์
เขียนโดย จิตวิญญาณ..ครูกาญจน์
วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สุดอาลัยการจากไปของศิษย์
เช้าวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2552 ครูและนักเรียนโรงเรียนกองทัพบกฯบูรณวิทยาได้รับแจ้งจากผู้ปกครองว่า เด็กหญิง สุดารัตน์ คงโสม หรือ น้องแป้งนักเรียนชั้น ป.6/1 ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ถูกไฟฟ้าช๊อตขณะเสียบปลักโทรศัพย์มือถือ โดยเมื่อเวลาประมาณ20 นาฬิกาผู้ปกครองได้เข้าไปเรียกน้องแป้งที่ในห้องนอน แต่เปิดประตูเข้าไปปรากฎว่าพบน้องแป้งนอนแน่นิ่ง และพบรอยไหม้บริเวณฝ่ามือพร้อมมีปลั๊กโทรศัพย์มือถือตกอยู่ข้างกาย จึงได้แจ้งเหตุและรีบนำตัวบุตรสาวส่งโรงพยาบาล แต่แพทย์ได้แจ้งว่าน้องแป้งได้เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาลนานเกินกว่าจะช่วยชีวิตไว้ทัน
โรงเรียนกองทัพบกฯบูรณวิทยารู้สึกเสียใจในการจากไปของเด็กหญิงสุดารัตน์ เป็นอย่างยิ่ง และจะร่วมเป็นเจ้าภาพการสวดพระอภิธรรมศพในวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2552 และจะร่วมไว้อาลัยในการฌาปณกิจศพ ณ เมรุ วัดเขางูราชสิงขร เวลา 16.00 น จึงขอเชิญพี่น้องชาวบูรณวิทยา ร่วมส่งน้องแป้งสู่สวรรค์
***บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ การจากไปเพราะปลักไฟคร่าชีวิต***
เรียบเรียงโดย ครูกาญจน์
อ่านต่อ >>
โรงเรียนกองทัพบกฯบูรณวิทยารู้สึกเสียใจในการจากไปของเด็กหญิงสุดารัตน์ เป็นอย่างยิ่ง และจะร่วมเป็นเจ้าภาพการสวดพระอภิธรรมศพในวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน 2552 และจะร่วมไว้อาลัยในการฌาปณกิจศพ ณ เมรุ วัดเขางูราชสิงขร เวลา 16.00 น จึงขอเชิญพี่น้องชาวบูรณวิทยา ร่วมส่งน้องแป้งสู่สวรรค์
***บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ การจากไปเพราะปลักไฟคร่าชีวิต***
เรียบเรียงโดย ครูกาญจน์
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สวนสวย หน้าใส ดวงใจบูรณะ
การศึกษา คือหัวใจของการศึกษาฉันท์ใด
ศิษย์ก็ คือหัวใจของครูฉันท์นั้น
ด้วยปณิธานที่มุ่งหวังให้นักเรียน ของโรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์บูรณวิทยาเป็นผู้ที่
เรียนดี มีวินัย ใฝ่คุณธรรม และไม่ข้องเกี่ยวกับยาเสพติด
การปรับปรุงภูมิทัศน์ของโรงเรียนให้สวยงาม สดชื่น สบายตาสบายใจ ย่อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้แก่นักเรียนอันเป็นที่รัก
เมื่อสภาพแวดล้อมของโรงเรียนน่าอยู่ นักเรียนก็ย่อมที่จะอยากมาโรงเรียน
ในปีการศึกษา 2551 ที่ผ่านมา โรงเรียนกองทัพบกอุปถัมภ์บูรณวิทยาบริหารงานโดย
พันเอกสุชาต จันทรวงศ์ ได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาโรงเรียนโดยจัดสร้างสวนสวยงามเพื่อเป็นที่พักผ่อน นั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือ สำหรับนักเรียน เช่น ป้าย อบอุ่นปลอดภัย ในค่ายบูรฉัตร หน้าโรงเรียนโดยวางปี่เซี๊ยะเพื่อฮวงจุ้ยที่ดี และบำบัดน้ำเสียไปในตัวก็สร้างความสวยงามไปอีกแบบ
สวนสุริยะเพื่อการเรียนรู้ เป็นสวนพักผ่อนเพื่อการเรียนรู้ระบบสุริยะจักวาล
นั่งคุยกันในมุมสบายหน้าสหกรณ์โรงเรียน
น้ำตกปลาคราฟท่สอนให้เด็กรู้จักแบ่งปันเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมโลก
สวนสมุนไพร ใฝ่ศึกษา
สวนสุริยะเพื่อการเรียนรู้ เป็นสวนพักผ่อนเพื่อการเรียนรู้ระบบสุริยะจักวาล
นั่งคุยกันในมุมสบายหน้าสหกรณ์โรงเรียน
น้ำตกปลาคราฟท่สอนให้เด็กรู้จักแบ่งปันเอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมโลก
สวนสมุนไพร ใฝ่ศึกษา
มมุมสบายข้างตึกเรียนก็มีสวนสวยงามตา
หากเด็กรักที่จะมาโรงเรียนฉันท์ใด การออกนอกลู่นอกทางไปหาส่งเสพติดก็จะไม่เกิดฉันท์นั้น
ดังนั้นหากโรงเรียนใด หรือหน่วยงานใดจะสร้างบรรยากาศที่ดีอย่างนี้บ้างก็ไม่สงวนลิขสิทธิ์
ภาพถ่ายโดย ครูกาญจน์
เขียนเรื่องโดย ครูกาญจน์ เช่นกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)